Previously on Annapurna Base Camp…หลังจากที่เดินทางถึงเนปาล ผมได้เดินทางต่อไปยัง Pokhara แล้วเริ่ม trekking trip โดยระหว่างทางได้แวะชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นบนเทือกเขาหิมาลัยที่ Poon Hill แล้วกำลังจะเดินทางต่อไปยัง Annapurna Base Camp
EPISODE-III : Into the longest day
หลังจากทานอาหารเช้าที่ Ghorepani ก็ถึงเวลาต้องเดินทางต่อ เพราะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อขึ้นลง Poon Hill การเดินทางในวันนี้เลยจะง่ายหน่อย โดยจะเดินทางผ่าน Duerali, Banthanti แล้วจะพักคืนนี้ที่ Tadapani ซึ่งประมาณไม่เกินบ่ายสองโมงน่าจะถึงแล้ว ระหว่างทางวิวเริ่มสวยมากแล้วเเลเห็น Annapurna อยู่ไม่ไกล


อย่างที่บอกครับวันนี้เดินทางง่ายๆไม่นานก็ถึงที่พักที่ Tadapani ช่วงบ่ายสองโมง ผมรีบอาบน้ำก่อนเลยเพราะรู้สึกว่าอากาศมันเริ่มเย็นๆแล้ว ที่ Tadapani จะเสียค่าอาบน้ำอุ่นประมาณ 150 Rs ค่าชาร์ตแบตนู่นนั่นนี่ 100 Rs แต่ถ้าอาบเย็นก็ไม่เสียตังค์ครับ (แต่เลือกน้ำอุ่นเพราะกลัวไม่สบายครับ ถ้าป่วยคงไม่คุ้มกันกับการประหยัดเงิน 150 Rs) ที่พักที่นี่ไม่มีผ้าห่มนะครับ ถุงนอนที่พกเอามาได้ใช้งานที่นี่จุดแรกครับ

ตำแหน่งห้องที่ผมพักอยู่บน dinning room พอดีเสียงเลยดังหน่อยซึ่งบางคนอาจจะนอนไม่หลับได้ (ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย) แนะนำว่าถ้าเป็นพวกหลับยากควรหาพวก ear plug ไปด้วยครับเพราะที่พักที่นี่ทำแบบง่ายๆฉะนั้นเราจะได้ยินเสียงห้องข้างๆด้วยซึ่งเป็นตลอดทั้งทริปครับ
แล้วก็ถึงเช้าอันสดใส ซึ่งจากที่พักสามารถมองเห็น Machapuchare ได้ครับ (พอดีตื่นเช้าเลยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นด้วย) การเดินทางวันนี้เราจะเริ่มที่ Tadapani ผ่าน Chuile, Siprong, Ghurjung, Chhumrong แล้วพักคืนนี้ที่ Sinuwa

บอกเลยว่าวันนี้เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดของผมแล้วครับ ไม่ใช่ด้วยระยะทางหรือความยากอะไรแต่เป็นอากาศคือวันนี้อากาศโครตร้อนทั้งที่เมื่อคืนยังหนาวๆอยู่เลย แถมเจอแดดทั้งวัน อากาศร้อนมากซึ่งระหว่างทางผมดื่มน้ำจนหมดกระติกเลย (ประมาณ 1.2 ลิตร) ทั้งที่ผมแวะเต็มทุกจุดพัก
ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักที่ Sinuwa ช่วงบ่ายสองโมงกว่า อย่างแรกที่ผมทำเลยคืออาบน้ำ (น้ำเย็นด้วย) หลังจากอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกโครตสบายตัวเลย ที่พักที่นี่ก็โอเคนะครับ ค่อนข้างสบายตามมาตรฐานที่นี่ครับ

บังเอิญมากว่าที่นี่ผมเจอกลุ่มคนไทยเลยนั่งพูดคุยกันสักหน่อย (จากนี่ไประหว่างทางจะเจอคนไทยตลอดเลยครับ ช่วงสงกรานต์อาจจะไม่ใช่ high season ของที่นี่แต่มันเป็น high season สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยแน่นอน) อาหารที่นี่นับว่าอร่อยเลยละครับ ผมเรียกเจ้าของที่พักนี้ว่าอ้ายหำแหล่เนื่องจากเค้ามาพูดภาษาจีนกับผมๆเลยบอกเค้าว่ามาจากเมืองไทย คำแรกหลังจากรู้ว่ามาจากเมืองไทยก็คือ Do you know Ham-lare? คิดอยู่นานว่า Ham-lare นี่มันอะไรว่ะ เห็นผมไม่เข้าใจเค้าก็ทำท่ามวยไทยผมอ๋อเลย เลยถามว่า Ong-bak, right?เค้ายิ้มกว้างเเล้วตอบมาเลยว่า Yes! (สงสัยว่าองค์บากนี่มันคงดังมากเพราะตอนอยู่เมกาก็มีฝรั่งมาทักว่า Ong-bak, Tony ja’s very cool!)


วันนี้เราจะเริ่มการเดินทางไปที่ Khuldi แล้วผ่านไปยัง Bamboo, Davan, Himalaya แล้วพักคืนนี้ที่ Deorali ซึ่งจาก Sinuwa นั้นความสูงอยู่ที่ 2350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแล้วจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นเรื่อยจนไปถึง ABC ที่ประมาณ 4130 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลครับ (ซึ่งวันนี้เพื่อนผมถึงกับพูดประมาณแปดแสนรอบว่า today is the longest day in my life)
หลังจากทานอาหารเช้าที่ Sinuwa ก็เริ่มเดินทางเลยครับ พอเดินทางได้สักพักเพื่อนผมเริ่มออกอาการป่วยครับ พอเราแวะที่ Bamboo เพื่อนผมเริ่มหน้าซีดๆบอกว่ามีถ่ายเหลวด้วย (มันเริ่มเเล้วครับ longest day) ตอนนั้นบอกเลยว่าเราไม่รู้ครับว่าเป็นอะไร เข้าใจว่าอาหารเป็นพิษผมเองก็เริ่มกลัวไปด้วยเหมือนกันเพราะตัวผมเองก็ใช่ว่าจะเเข็งแรงอะไรมากท้องเสียง่ายๆเหมือนกัน

ถ้าคิดว่าเพื่อนป่วยคือแย่ที่สุดเเล้วมันยังไม่ใช่ครับ หลังข้าวเที่ยงก็เดินทางต่อครับซึ่งถึงตอนนี้เพื่อนผมมีอาการเบื่ออาหารด้วย ช่วงนี้ก็ค่อยๆเดินครับพักถี่มากขึ้นและเดินช้าลง สภาพเพื่อนผมมันเเย่ลงเรื่อยๆ จนมาถึงที่ Himalaya ก็มีฝนตกและมีลมค่อนข้างแรง (แรงขนาดที่ผมเดินเซๆเลย) ความซวยก็คือที่พักที่ Himalaya เต็มต้องขึ้นไปถึง Deorali ซึ่งปกติใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงแต่ด้วยสภาพอากาศอย่างนี้น่าจะนานกว่านั้นแน่นอนซึ่งตอนนั้นมันบ่ายสามแล้วเราต้องแข่งกับเวลาด้วยเพราะถ้ามืดนี่จะแย่กว่านี้แน่


หลังจากถูลู่ถูกังกันมาสองชั่วโมงกว่าๆก็เห็น Deorali อยู่ข้างหน้าแต่ที่พักที่เหลืออยู่คือหลังที่อยู่บนสุด ตอนนั้นแค่เดินต่ออีกห้านาทีก็มีผลมากเเล้วครับแล้วอาการเพื่อนก็แย่สุดๆซ้ำร้ายอยู่ๆฝนก็กระหน่ำลงมาเหมือนเปิดสวิทดีที่ว่าใกล้ถึงเเล้วเลยไม่ได้อะไรมากเท่าไหร่
อากาศหนะเหรอครับ…โครตหนาวเลยคืนนั้นพายุโหมเข้ามาหนักมาก ที่ dinning room มีคนเยอะมากจริงๆที่พักเต็มหมดจะเดินต่อไปก็ไม่ไหวฉนั้นพื้นที่ใน dinning room ถูกปรับเปลี่ยนเป็นที่นอนหมด ซึ่งผมต้องรีบกินข้าวกินปลาเพราะม้านั่งกินข้าวก็คือเตียงนอน แล้วกลับห้องนอนครับ หน้าห้องผมมีฝรั่งกับไกด์อีกคนนั่งอยู่เค้าพูดกับผมเสียงเศร้าๆว่า I’m still have no room (ผมคิดในใจว่าถ้าเพื่อนผมไม่ป่วย เมียผมไม่มาด้วย ผมก็อยากจะเแชร์ห้องให้นะแต่นี่เพิ่มอีกสองไม่ไหวจริงๆ)
กลับมาที่เพื่อนผมซึ่งยังคงเบื่ออาหารแล้วรู้สึกคลื่นไส้ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นทั้งคืนครับ ผมปรึกษาไกด์ว่าจะเอายังไงดีแน่นอนว่าเรียกฮอมารับเป็นสิ่งแรกๆที่พูดถึงแต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะฮอจะมาได้แค่บางสถานีซึ่งจากจุดนี้มีแค่ขึ้นหรือลงเท่านั้น เพื่อนผมที่กินยาแก้ท้องเสียเเล้วอาการไม่ดีขึ้นแล้วผมกับไกด์สงสัยว่าจะเป็น AMS ซึ่งหลายคนอาจจะงงว่า AMS นี่อาการมันคือปวดหัวไม่ใช่เหรอ คือคำตอบมีทั้งใช่และไม่ใช่ครับ AMS เกิดจากการที่ร่างกายปรับตัวตามสภาพที่ออกซิเจนน้อยไม่ได้ อาการก็จะมีตั้งแต่ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ไปจนถึงเห็นภาพหลอนแล้วมีสิทธิ์เสียชีวิตได้
คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลยครับปรึกษากับภรรยาผมว่าคงจะไม่ขึ้นไปเเล้ว เราจะลงกันในวันพรุ่งนี้ (จริงๆถึงเพื่อนผมไม่ป่วยก็คงนอนไม่หลับเพราะดันมีคนมานั่งคุยโม้เรื่องโครตประสบการณ์ท่องเที่ยวอันสุดยอดแบบไม่เกรงใจใครถึงตีหนึ่ง…พี่เคยไปนั่งรถไฟที่ยุโรป..ไปเยอรมันยังงั้ยยังงี้…ใช่ครับพูดภาษาไทย ผมกับเพื่อนเรียกมันว่าไอ้ยุโรป)
อากาศตอนเช้าค่อนข้างสดใสและเนื่องจากเป็นวันปีใหม่ของเนปาลด้วยผมเลยไปสวัสดีปีใหม่ไกด์และคนที่นี่สักหน่อย (กะว่าวันนี้ค่อยๆลงชิวๆ) เพื่อนผมอาการดีขึ้นมาบ้างละแต่ยังไม่ค่อยไหว ไกด์ผมเลยแนะนำว่าให้พักที่นี่อีกคืนเเล้วค่อยลง ผมหันไปสบตาภรรยาผมทันทีแล้วถามไกด์ว่า If we go to ABC and come back within 6 hours, is it possible? เค้าเซย์เยสผมกับภรรยาก็ไม่รอช้าจัดแจงของให้น้อยที่สุดพอที่จะเดินทางไปกลับ ABC วันนี้ โจยท์วันนี้คือต้องรีบกลับมาก่อนบ่ายสามโมงเพราะช่วงเย็นๆจะมีฝนตกหนักทำน้ำปิดทางกลับและอาจมีหิมะถล่มได้ (ระหว่างทางเจออยู่ไกลมากแต่เสียงนี่โครตดัง) ก่อนเดินทางเพื่อนร่วมทางชาวสิงคโปร์ที่เจอกันระหว่างทางบอกว่า snow storm’ll be coming in next 2 days (เยื่ยมจริงๆ)

ระหว่างทางบอกเลยว่าโครตสวย เดินออกจากที่พักแค่ร้อยเมตรก็เจอวิวที่สุดยอดเเล้ว การเดินทางวันนี้ง่ายๆแค่เดินทางจาก Deorali ผ่าน MBC หรือ Machapuchare Base Camp ซึ่งไม่อนุญาตให้ขึ้นเนื่องจากเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ครับ มีการสำรวจแค่่ครั้งเดียวแล้วก็ปิดไม่ให้ขึ้นอีกโดยคำว่า Machapuchare แปลว่าหางปลาซึ่งสอดคล้องกับมัตสยาวตาร (Matsya) อวตารหนึ่งของพระศิวะที่อวตารเป็นปลา

แล้วก็มาถึง MBC เราหยุดพักที่นี่แปปหนึ่งก่อนเดินทางต่อซึ่งจากจุดนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนถึง ABC ซึ่งเราต้องเดินฝ่าหิมะขึ้นไปซึ่งค่อนข้างลื่นเลยทีเดียว



เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจเราก็ถึงซะที Annapurna Base Camp ถ้าไม่นับบนเครื่องบินมื้อเที่ยงมื้อนั้นคืออาหารกลางวันที่สูงที่สุดของผมกับภรรยาเลย ถึงตรงนี้ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไง มันเป็นโมเมนที่บอกไม่ถูกจริงๆต้องลองมาเองแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ บางคนอาจดีใจหรือบางคนอาจเฉยๆ หลังอิ่มหนำสำราญก็เดินเล่นกันหน่อยซึ่งผมก็มีเวลาไม่มากก็ต้องลงแล้ว จริงๆข้างบนก็เห็นอะไรไม่ชัดเท่าไหร่แล้วฟ้าก็เริ่มปิดเเล้ว ผมลืมบอกไปว่าถ้าใครมานอนข้างบน base camp ให้รีบขึ้นมาหน่อยเพราะที่พักเต็มเร็วมาก หลายคนต้องกลับลงไปนอนที่ MBC คนที่นั่นบอกผมว่าตอนเช้าจะสวยเพราะฟ้าจะเปิดเเล้วพระอาทิตย์จะฉาบตัวเขาเป็นสีออกชมพู ผมเสียดายนิดหน่อยแต่แค่นี้ก็สุดยอดเเล้วแหละ


ถึงเวลาลงก็รู้สึกใจหายหน่อยๆ ที่เค้าบอกว่าเนปาลนั้นมีเสน่ห์ ถ้าได้ไปแล้วก็อยากจะไปอีกนั้นผมว่าเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นเลย
So long ABC
การเดินทางมายัง ABC episodeนี้ก็จบลง ถ้ามีคำถามอะไรก็ comment ไว้ได้ผมจะคอยมาตอบเรื่อยๆครับ episode หน้าจะเป็นการเดินทางกลับและการท่องเที่ยวในเมืองครับ